การเผาแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (Mg(OH) 2) แมกนีเซียมออกไซด์ออกจากน้ำทะเลทำได้โดยนำน้ำทะเลที่มีแมกนีเซียมมากกว่าร้อยละ 0. 2 มาทำปฏิกิริยากับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ (Ca(OH) 2) ทำให้ได้ตะกอนของแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (Mg(OH) 2) จากนั้น นำแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ไปอบแห้งไล่น้ำออกจนได้ผลิตภัณฑ์เป็นแมกนีเซียมออกไซด์ (MgO) การเผาแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ที่ได้จากแหล่งสินแร่ในธรรมชาติ สูตร Mg(OH) 2 + ความร้อน (1, 550-2, 000°C) → MgO ในส่วนของการเผาสำหรับนำแมกนีเซียมออกไซด์ไปใช้ผลิตเป็นวัสดุทนไฟ เช่น เซรามิก จะต้องเผาแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ ที่อุณหภูมิ 1, 650°C และนำไปบดให้ละเอียดอีกครั้งก่อนนำไปใช้งาน ซึ่งจะได้แมกนีเซียมออกไซด์ที่มีความหนาแน่นสูง สามารถเกาะตัวเป็นก้อนแข็งได้ดี 2. การเผาแมกนีเซียมคาร์บอเนต (MgCO 3) หรือ แร่แมกนีไซต์ (magnesite) ที่ได้จากแหล่งแร่บนผิวโลก โดยการเผาที่อุณหภูมิ 500 – 1, 500°C จนได้ผลิตภัณฑ์เป็นแมกนีเซียมออกไซด์ สูตร MgCO 3 + ความร้อน (500-1, 500°C) → MgO + CO 2 แมกนีเซียมออกไซด์ที่นำไปใช้ผลิตฉนวนไฟฟ้า จะต้องเผาแมกนีเซียมคาร์บอเนตที่อุณหภูมิ 1, 600 – 1, 800°C แต่แมกนีเซียมคาร์บอเนตสามารถเผาจนได้แมกนีเซียมออกไซด์ที่อุณหภูมิต่ำได้ที่ 500°C แต่จะแตกตัวได้เป็นแมกนีเซียมออกไซด์ที่สมบูรณ์ จะต้องเผาจนถึงอุณหภูมิ 1, 500°C 🧫 การใช้ประโยชน์แมกนีเซียมออกไซด์ 1.
แมกนีเซียมออกไซด์ (Magnesium oxide) เป็นแร่ของแข็งสีขาว เป็นสารประกอบโลหะออกไซด์ของแมกนีเซียม (Mg) เมื่อละลายน้ำแล้วจะทำให้น้ำเป็นด่าง นำมาใช้ประโยชน์หลายด้าน ทั้งในด้านอุตสาหกรรม การแพทย์ อาหาร และการเกษตร เช่น ใช้ผลิตเป็นวัสดุหรือฉนวนกันความร้อน ใช้เป็นยาลดกรดในกระเพาะอาหาร ใช้เป็นส่วนผสมของซีเมนต์ก่ออิฐทนไฟ ใช้อุตสาหกรรมผลิตยาง อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และสารทำความสะอาด เป็นต้น คุณสมบัติเฉพาะของแมกนีเซียมออกไซด์ CAS Number 1309-48-4 ชื่อทางการค้า แมกนีเซียมออกไซด์ (Magnesium oxide) ชื่อทางเคมี Magnesium oxide ชื่ออื่น ๆ Magnesia, Periclase, Oxomagnesium สูตรทางเคมี MgO น้ำหนักโมเลกุล 40. 305 กรัม/โมล ลักษณะทางกายภาพ เป็นผงสีขาว ไม่มีกลิ่น จุดหลอมเหลว 2, 825 °C จุดวาบไฟ ไม่เป็นสารติดไฟ อุณหภูมิที่ติดไฟได้เอง ไม่เป็นสารติดไฟ อัตราส่วนในอากาศที่เกิดระเบิด/ติดไฟ ไม่เป็นสารติดไฟ ขีดจำกัดการติดไฟ ไม่เป็นสารติดไฟ ความดันไอ – ความหนาแน่นไอ – ความหนาแน่น 3. 6 กรัม/มล. ความถ่วงจำเพาะ – ค่าคงที่เฮนรี่ – จุดเยือกแข็ง – การละลาย ละลายน้ำได้ 86 มิลลิกรัม/ลิตร ที่ 30°C เมื่อละลายน้ำจะทำให้น้ำเป็นด่าง การสลายตัว – ความเป็นกรด-ด่าง (pH) 10.
ยาเพิ่มความต้านทานของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ยารักษาโรคกระเพาะอักเสบกลุ่มนี้ได้แก่ ซูคราลเฟท (Sucralfate) ออกฤทธิ์เป็นเมือกปกคลุมแผลในกระเพาะ และออกฤทธิ์ได้นานมากกว่า 6 ชั่วโมง โดยอาศัยภาวะกรดสำหรับเพื่อการออกฤทธิ์ ก็เลยห้ามใช้ร่วมกับยาลดกรด บิสมัธซับซาลิไซเลท (Bismuth Subsalicylate) ออกฤทธิ์จับกับแผลในกระเพาะ และก็กระตุ้นการหลั่งเมือกเคลือบด้านในกระเพาะ ถ้าหากใช้เป็นระยะเวลาที่ยาวนานอาจจะก่อให้อุจจาระเป็นสีดำได้ 3.
ยาเคลือบกระเพาะ (Stomach-lining protector) ยากลุ่มนี้เป็นยาที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเยื่อบุทางเดินอาหาร โดยการเคลือบอยู่บนผิวของเยื่อบุนั้น ก็เลยลดช่องทางที่เยื่อบุจะสัมผัสกรดจากกระเพาะ ก็เลยช่วยลดอาการจากการอักเสบหรือจากแผลในกระเพาะได้ นอกเหนือจากนั้นยังช่วยลดช่องทางมีการอักเสบรวมทั้ง/หรือการเกิดแผลของเยื่อบุฯที่อาจเกิดจากกรดในกระเพาะได้ ยารักษาโรคกระเพาะแบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้ 1.
การเกษตร มีการใช้ประโยชน์แมกนีเซียมออกไซด์ในลักษณะเดียวกันในมนุษย์ คือ ถูกใช้เป็นยาลดกรดในกระเพาะของสัตว์ ทั้งสัตว์กระเพาะเดี่ยว และสัตว์เคี้ยวเอื้อง โดยอาจให้ในรูปยาลดกรด หรือ ผสมในอาหารสัตว์ ใช้เป็นส่วนผสมของปุ๋ย สำหรับเป็นธาตุอาหารรองให้แก่พืช ★ ★ ★ ★ ★ ★ ★ ★ ★ ★ ★ ★ ★ ★ ★ ★ ★ ★ ★ ★ กลไกลการลดความเป็นนกรดของแมกนีเซียมออกไซด์ในกระเพาะอาหาร 1. แมกนีเซียมออกไซด์ (MgO) เมื่อละลายน้ำจะทำให้สารละลายมีคุณสมบัติเป็นด่าง ช่วยลดปริมาณกรดได้ ► สูตร MgO + H 2 O → Mg + (OH) -2 (ด่าง) 2. ในกระเพาะมนุษย์ หรือ สัตว์กระเพาะเดี่ยว แมกนีเซียมออกไซด์ (MgO) จับกับกรดไฮโดรคลอดริก (HCl) ทำให้ได้เป็นแมกนีเซียมคลอไรด์ (MgCl 2) และน้ำ ► สูตร MgO + 2HCl → MgCl 2 + H 2 O 3.
สวัสดีค่ะคุณ Alice Manson ยาลดกรด เป็นกลุ่มยาที่ช่วยปรับสภาพความเป็นกรดภายในกระเพาะอาหารให้มีความเป็นกลางมากขึ้น จึงใช้ในการรักษาภาวะที่เกี่ยวกับการมีกรดในกระเพาะมากเกินไปเช่น โรคกรดไหลย้อน กรดเกินในกระเพาะอาหาร แผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบ เป็นต้น โดยยาลดกรดในที่นี้ น่าจะหมายถึงยาลดการหลั่งกรด ดังนั้นจะต้องกินก่อนมื้ออาหารเพื่อให้ยาออกฤทธิ์ทันมื้ออาหาร เพราะเมื่ออาหารเข้าไปในกระเพาะจะกระตุ้นการหลั่งกรดออกมา จึงควรกินก่อนมื้ออาหารประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงค่ะ การใช้ยาควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์และมีการกลับไปติดตามอาการเป็นระยะว่าต้องปรับยาหรือไม่
ระบบ I Smart Mg Zs, 2024