สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไปเรื่อย ๆ ได้แม้ไฟเต็ม ในปัจจุบันนี้ทั้งมือถือและที่ชาร์จจะมีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จเต็มอยู่ ดังนั้นไม่ต้องไปกลัวว่าถ้าเสียบชาร์จทิ้งไว้นาน ๆ แล้วแบตเตอรี่จะเสื่อมเลย เว้นเสียแต่ว่าแบตเตอรี่หรือที่ชาร์จนั้นไม่ใช่ของแท้หรือไม่ได้มาตราฐาน ก็อาจจะมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย เนื่องจากของไม่แท้หรือไม่ได้มาตราฐานอาจจะไม่มีระบบตัดไฟติดมาด้วย หากไปคาดหวังให้ชิ้นส่วนอื่น ๆ ช่วยตัดไปแทนแล้วเกิดระบบส่วนอื่น ๆ ไม่ทำการตัดไฟ เราก็จะเจอเหตุการณ์มือถือระเบิดใส่ระหว่างชาร์จ ดังที่เราเห็นในข่าวนั่นเอง 5.
ภาพจากสมาชิกยูทูบ TechRax แชร์กันทั่วโลก!
โทรศัพท์มือถือที่รองรับระบบ QI การชาร์จไร้สาย 14 ก. ย.
สมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ ต้องชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มนาน 8 ชั่วโมง สิ่งนี้ไม่ได้ช่วยยืดอายุไขให้กับแบตเตอรี่เลย มันเป็นเพียงอุบายเล็กๆ น้อยๆ จากโรงงานผลิต เพื่อให้ผู้ใช้งานเกิดความประทับใจ ในการสัมผัสเครื่องครั้งแรกเพียงเท่านั้น 4. ไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่ ก่อนที่จะเหลือ 0% เมื่อก่อนอาจจะต้องทำแบบนั้นจริงๆ เนื่องจากแบตเตอรี่ Lithium-ion ยังทำงานเข้ากับระบบและตัวเครื่องได้ไม่ดีนัก ทำให้เกิดการบอกค่าแบตเตอรี่ผิดพลาดบ่อยๆ แต่ในปัจจุบันค่ายสมาร์ทโฟนต่างพัฒนาและได้ปรับปรุงในจุดนี้แล้ว จึงชาร์จแบตเตอรี่เมื่อใดก็ได้ 5. ใช้งานแค่แอพฯ เดียว ไม่ได้ดูดแบตเตอรี่อะไรมากมาย เป็นความเชื่อที่ผิดเต็มๆ ดูได้จากแอพฯ Facebook ที่มีการดูดทรัพยากรภายในเครื่องเยอะมาก ทั้งเปิดใช้งานอยู่และไม่ได้ใช้งาน เพราะแอพฯ จะมีการรีเฟรชฟีด, อัพเดท, ตรวจสอบข้อความ และอื่นๆ อยู่ตลอดเวลา หากไม่ได้ปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ โดยมีรายงานว่าเมื่อลบ Facebook ออกจากเครื่อง จะทำให้แอพฯ อื่นใช้งานเร็วขึ้นถึง 15% และประหยัดพลังงานได้กว่า 20% เลยทีเดียว 6. ปิดเครื่องไม่ได้ช่วยประหยัดแบตเตอรี่มากอย่างที่คิด มีผู้ใช้งานหลายคน ไม่ชอบปิดแอพฯ แบบสมบูรณ์เมื่อใช้งานเสร็จ (ปิดจาก Multitasking) และแอพฯ เหล่านั้นยังคงทำงานอยู่ แม้ว่าจะปิดเครื่องเอาไว้ก็ตาม ซึ่งการปิดเครื่องไม่ได้ช่วยประหยัดแบตเตอรี่อย่างที่คิด หากไม่มีการปิดโปรแกรมแบบสมบูรณ์เสียก่อน 7.
ค. 2559 18:01 10 มี. 2559 18:23 11 มี. 2559 09:24 ไทยรัฐ
การถนอมแบตเตอรี่บนสมาร์ทโฟน เป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานทุกคนควรจะทำอยู่แล้วเพื่อเพิ่มอายุการใช้งาน แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่กำลังปฏิบัติตามนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่หรือไม่? เนื่องจากเทคโนโลยีต่างๆ ได้พัฒนาไปไกลแล้ว ทำให้บางความเชื่อบางอย่างกลายเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำตาม ทีนี่มาดูกันดีกว่า กับ 8 ความเชื่อเกี่ยวกับแบตเตอรี่ ที่ควรเลิกทำตาม 1. ไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่ตลอดทั้งคืน เทคโนโลยีในปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปเยอะ ทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ตลอดทั้งคืนได้ เนื่องจากสมาร์ทโฟนของคุณจะหยุดชาร์จไฟด้วยตัวเองเมื่อเต็ม 100% และหากแบตเตอรี่ลดลงจนถึงที่กำหนด สมาร์ทโฟนจะกลับมาชาร์จแบตเตอรี่ใหม่ด้วยตัวเอง ซึ่งได้รับการยืนยันจากนาย Sergio Flores วิศวกรไฟฟ้าของบริษัท Samsung 2. สมาร์ทโฟนปลอดภัยเมื่อชาร์จแบตฯ ตามจุดชาร์จในที่สาธารณะ ความจริงแล้วการชาร์จแบตเตอรี่ตามจุดชาร์จไฟต่างๆ เช่นที่ร้านอาหารหรือสนามบิน ไม่ได้มีความปลอดภัยอย่างที่คิด (รายงานจาก Eva Velasquez ประธานศูนย์ค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับโจรกรรม) เพราะเหล่า Hacker สามารถเข้าถึงข้อมูลของคุณได้ง่ายกว่าปกติ ซึ่งการใช้ Power Bank เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดหากต้องการชาร์จแบตเตอรี่ข้างนอก 3.
ควรชาร์จไฟก็ต่อเมื่อระดับแบตเต อรี่อยู่ที่ 65-70%(1C) จะดีที่สุด แต่การใช้งานจริงคงจะได้ระดับ 35-60%(2C) ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ ซึ่งจากผลการทดสอบจากต่างประเทศได้ ระบุว่า หากชาร์จแบตเตอรี่ที่ระดับ 3C จะสามารถชาร์จได้ประมาณ 300 รอบ(Cycle) แต่หากเราชาร์จที่ระดับ 1C และ 2C จะสามารถชาร์จได้มากกว่า 400-500 รอบ (Cycle) "ดังนั้นไม่ควรชาร์จในขณะที่แบตต่ำกว่า 30% นั่นเอง เพราะมันจะเสื่อมเร็ว" 2. จะชาร์จเมื่อไรก็ชาร์จไป (ตามข้อที่ 1) แต่ห้ามใช้แบตจนหมดเกลี้ยงในระดับเปิดเครื่องไม่ติด (แบตเหลือ 0%) โดยเด็ดขาดเพราะแบตมันจะพังไวมาก!! 3. ถ้าหากไม่ได้ใช้มือถือเป็นเวลานาน และแบตเตอรี่สามารถถอดออกมาได้ ควรถอดแบตเตอรี่เก็บไว้ในขณะที่มีประจุประมาณ 40% และควรที่จะเก็บเอาไว้ในที่เย็น และไม่มีความชื้นครับ โดยค่า 40% นั้นเป็นตัวเลขที่มาจากห้องทดลองเลยทีเดียว 4. มือถือและแท๊บเลทในปัจจุบันนั้น มีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จแบตจนเต็ม 100% และมันจะต่อไฟตรงเหมือนกับที่เราเห็นมันขึ้นเป็นรูปสายไฟแทนฟ้าผ่านั่นแหละ แต่ถ้าหากแบตมันลดลงเพียง 1% มันก็จะชาร์จใหม่ ดังจะเห็นว่าไม่ว่าเราจะเล่นเกมส์หนักหน่วงขนาดไหนในขณะที่ชาร์จมันก็จะเต็มตลอด (ไม่เหมือนโน๊ตบุ๊คที่จะตัดไฟเมื่อแบตเต็ม และชาร์จใหม่เมื่อแบตลดลงเหลือ 90%) ซึ่งจะทำให้เราสูญเสียรอบการชาร์จไปโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อเราชาร์จเสร็จก็ควรถอดปลั๊กเพื่อนำมาใช้งาน และเมื่อถึงระดับ 35-70% ค่อยนำกลับไปชาร์จใหม่จะดีที่สุด 5.
หากในข้อที่ 3. ทำได้ยากเกินไป เอาเป็นช่วง 45% ถึง 75% ก็ยังดี คำแนะนำต่อมาบอกว่า ทางเลือกที่ดีที่สุดรองลงมาคือ การรักษาระดับของประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนให้อยู่ในช่วงระหว่าง 45% ถึง 75% หรือถ้ามันยังยากเกินไปเอาเป็นช่วงระหว่าง 25% ถึง 75% ก็ยังเป็นการดีต่ออายุใช้งานแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในสมาร์ทโฟนของเรา นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ระบบ ชาร์จด่วน ของหลาย ๆ ยี่ห้อทำงานเต็มที่จนถึงระดับแบตเตอรี่ 60-80% เท่านั้น ก่อนที่ระบบจะกลับไปชาร์จด้วยความเร็วตามปกติ 5.
ระบบ I Smart Mg Zs, 2024