He / She / It knows about you. Subject + do/does + not + Verb1 ประโยคปฏิเสธ do not does know Do/Does + Subject + Verb1? ประโยคคำถาม Do I / you / we / they seafood? Does he / she / it about you? Who/What/Where/When/Why/How + do/does + Subject +Verb1? ประโยคคำถาม Wh- Why What *คำปฏิเสธรูปย่อของ do/does not คือ don't และ doesn't หลักการใช้ Present Simple Tense 1. ใช้พูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หรือ เกิดขึ้นเป็นประจำซ้ำไปซ้ำมา เ ช่น I drink a lot of water. (ฉันดื่มน้ำเยอะ) 2. ใช้กับการกระทำที่ ทำจนเป็นอุปนิสัย หรือ ใช้เพื่อแสดงความถี่ของการกระทำต่างๆ โดยเรามักใช้กับ คำกริยาวิเศษณ์แสดงความถี่ (Adverbs of Frequency) มาช่วยในการแสดงความถี่ของการกระทำ เช่น I always do my homework. (ฉันทำการบ้านของฉันเสมอ) *อย่างไรก็ตามประโยคที่มี คำกริยาวิเศษณ์แสดงความถี่ (Adverbs of Frequency) นั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็น Present Simple Tense เสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า ประโยคนั้นกล่าวถึง การกระทำในช่วงเวลาใด เช่น I usually went to a museum. (Past Simple Tense) I will always love you. (Future Simple Tense) 3.
ใช้เล่าเหตุการณ์ในอดีต ที่จะระบุเวลากำกับ หรือรู้กันดีว่ามันเกิดในอดีตนะ 1.
คุณมีสุนัขกี่ตัว How many players are there? มีผู้เล่นอยู่ที่นั่นกี่คน How long ยาวเท่าไร ใช้ถามเกี่ยวกับระยะเวลา ใช้ถามเกี่ยวกับความยาว 1. How long have you been in USA? คุณอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกานานเท่าไหร่แล้ว 2. How long is this river? แม่น้ำสายนี้ยาวเท่าไหร่ How far ไกลเท่าไร ใช้ถามเกี่ยวกับระยะทาง ใช้ถามเกี่ยวกับความไกล How far is his office? ที่ทำงานของเขาอยู่ไกลแค่ไหน How far is it from Ladda's house to yours? บ้านของลัดดาอยู่ห่างจากบ้านคุณไกลแค่ไหน How old อายุเท่าไร ใช้ถามอายุของคน สัตว์ สิ่งของ How old are you? คุณมีอายุเท่าไหร่ How old is this cat? แมวตัวนี้อายุเท่าไหร่ How tall สูงเท่าไร ใช้ถามถึงความสูงของคนและสิ่งที่สูงไม่มากนัก How tall is he? เขาสูงเท่าไหร่ How tall is this building? ตึกนี้สูงเท่าไหร่
Past Simple Tense Past Simple Tense ใช้แสดงถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยมีโครงสร้างประโยคดังนี้ Subject + verb ช่องที่ 2 หลักการใช้ Past Simple Tense 1. ใช้แสดงถึงการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและสิ้นสุดลงแล้ว โดยจะระบุเวลาไว้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น - Mark arrived at 7 o'clock yesterday. - Joe bought a new car last week. - The train stopped five minutes ago. - They studied French last term. 2. ใช้แสดงถึงการกระทำที่เป็นนิสัยหรือเกิดขึ้นเป็นประจำในอดีต แต่ไม่ได้เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน มักมี adverbs of frequency ที่แสดงความบ่อยรวมอยู่ในประโยคเช่น always, usually, often, every........ เป็นต้น และต้องมีคำบอกเวลาในอดีตแสดงไว้ด้วย ตัวอย่างเช่น - It often rained last week. - He always played tennis last year. - Jim drank coffee every two hours last night. - They swam every evening last year. 3. ใน Past Simple Tense สามารถใช้ used to +คำกริยาช่องที่ 1 (เคย) แสดงถึงการกระทำที่กระทำอยู่ หรือที่เป็นอยู่เป็นประจำในอดีต ตัวอย่างเช่น - Sam used to travel to Japan on business.
- She used to work here. - They used to live in Chiang Mai. หลักการเปลียนคำกริยาให้เป็น Past Tense การเปลี่ยนรูปคำกริยาเป็น past tense มี 2 วิธี คือ 1, การเติม ed ที่ท้ายคำกริยาช่องที่ 1 (Regular Verb) 2. คำกริยาที่เปลี่ยนรูปใหม่ ( Irregular Verb) หลักการเติมเติม ed ที่ท้ายคำกริยามีดังนี้ 1. คำกริยาโดยทั่วไปเมื่อเปลี่ยนเป็นคำกริยาช่องที่ 2 ให้เติม ed ได้เลย เช่น clean - cleaned help - helped watch - watched 2. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย e อยู่แล้ว ให้เติม d ได้ทันทีเช่น like - liked bake - baked live - lived 3. คำกริยาที่เป็นพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดตัวท้ายอีกหนึ่งตัวก่อน แล้วจึงเติม ed เช่น stop - stopped fit - fitted plan - planned 4. คำกริยาที่มี 2 พยางค์ ออกเสียงเน้นหนักพยางค์หลังให้เพิ่มตัวสะกดตัวท้ายอีกหนึ่งตัวก่อน แล้วจึงเติม ed prefer - preferred control - controlled 5. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย yและหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วจึงเติม ed เช่น study - studied cry - cried carry - carried แต่ถ้าหน้า y เป็นสระให้เติม ed ได้เลย เช่น play played stay - stayed การทำเป็นประโยคคำถาม 1.
Perfect รูปของมันจะเป็น V. to have + V3 (ที่ดูเหมือนยาก แต่ก็ไม่ยากเลย) "มันจะอยู่ช่วงเวลาไหน มันก็เป็น have + V3 โดยที่เราผันตัว have ไปตามเวลาของมัน แต่ V3 คงเดิมตลอด เพราะตัวที่บอกความเป็น Perfect คือ V3 " Present Perfect ก็เลยเป็น "Sub + has/have + V3" ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ (He, She, I t, คน สัตว์ ของ 1 อัน) ก็ใช้ "has" ถ้าเป็นพหูพจน์ (You, We, They, คน สัตว์ ของมากกว่า 1) ก็ใช้ "have" Past Perfect แบบประโยคเหมือนเดิม แต่เราต้องทำ has/have ให้มันเป็น ช่อง 2 เพราะ V2 คือ V ที่บอกอดีต แล้วช่อง 2 ของ has/have ก็คือ had เราเลยได้เป็น "Sub + had + V3" อุต๊ะ ง่ายจิมจิม!! Future Perfect พอเป็นอนาคตก็ต้องบอกว่า "จะ…" เหมือนเดิม ได้เป็น "Sub + will + have + V3" เพราะหลัง will บอกแล้วว่า verb มันต้องธรรมดา ไม่เติม ไม่เปลี่ยน เลยต้องกลับมาใช้ have ธรรมดา แล้วก็ตามด้วย V3 ซะ ได้ Perfect ด้วย แล้วยังเป็น Future อีกต่างหาก ***และใช้ have อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ has จำซะว่าเราเน้นบอกว่ามันเป็นอนาคต ส่วน Perfect เราแค่มี have + V3 มันก็ perfect แล้วไง ไม่ต้องไป has ให้มันเยอะ!! ดังนั้นเมื่อไหร่ใช้ will has ….. หรือ will had….. หรือ will v3…..
= คุณเกิดวันไหน I was born on the 1 st, January 1999. = ผม/ฉันเกิดวันที่ 1 มกราคมปี 2542 How tall are you? = คุณสูงเท่าไร I'm 155 cm. = ผม/ฉันสูง 155 ซม. How much do you weigh? = คุณหนักเท่าไร ปล. ไม่ควรถามในชีวิตประจำวันเลยเพราะไม่สุภาพ My weight is 40 kg. = ฉัน/ผม หนัก 40 กก. What's your shoe size? = รองเท้าคุณเบอร์ไหนคะ/ครับ My shoe size is 9. = ไซส์รองเท้าผม/ฉัน คือ 9 เพิ่มเติม: ในประเทศสหรัฐอเมริกา (US) และประเทศอังกฤษ (UK) จะใช้ตัวเลขเดี่ยวๆบอกไซส์รองเท้า เช่น 8, 9 แต่ถ้าแถบประเทศยุโรปจะใช้ ตัวเลขสองหลักเช่น 41, 42 บรรยาย ข้อมูลครอบครัว (Family information) Do you have any siblings? = คุณมีพี่น้องมั้ย I don't have any brothers or sisters. = ผม/ฉันไม่มีพี่น้องเลย How many people in your family? = ครอบครัวของคุณมีสมาชิกกี่คน There are 7 people in my family. ครอบครัวผมมี 7 คนด้วยกัน Who do you live with? = คุณอาศัยอยู่กับใคร I live with my + สมาชิกในครอบครัว, เพื่อน เช่น I live with my mom. ฉันอาศัยอยู่กับแม่ I live with my roommate. ฉันอาศัยอยู่กับรูมเมท What does your father do? = คุณพ่อทำงานอะไร He works as a + อาชีพ.
ผิดทันที!!!!!!!! *** สรุป ไปดูในรูปจะเห็นว่า ช่อง Perfect ในแนวตั้ง ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน จะมีกรอบสีพีชที่เป็น have ตลอด และที่สำคัญที่สุดคือ มีตัวสีชมพู คือ V3 ตลอด!!!!!!!!!
หรือ I am available now. แทนจะดูหรูกว่าเยอะเลยค่า ตัวอย่างประโยคบอกสถานที่ทำงาน Situation: Asking about work ถาม: Where do you work? = คุณทำงานที่ไหน I work in a police station. = ฉันทำงานในโรงพักแห่งหนึ่ง หรือจะใช้ I work at the US embassy. = ฉันทำงานที่สถานทูตอเมริกา (แต่ไม่ได้เจาะจงว่าทำงานตรงส่วนไหน) บรรยายเกี่ยวกับสัญชาติ (Nationality) นักเรียนทุกคนคะ โดยทั่วไปแล้วเราจะใช้คำคุณศัพท์บอกสัญชาติที่ลงท้ายด้วย -ese หรือ -ish ร่วมกับคำกิริยาพหูพจน์เพื่อบอกถึงผู้คนในสัญชาตินั้น ๆ คำคุณศัพท์ที่ถูกเขียนออกมานี้มักจะถูกนำมาใช้เพื่ออ้างถึงภาษาที่คนสัญชาตินั้น ๆ ใช้พูดด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถใช้ได้ทุกกรณีก็ตาม แต่มันก็เป็นสิ่งจำเป็นมากค่ะ ศัพท์จำเป็น Nationality (N. ) สัญชาติ Nation (N. ) ประเทศ ตัวอย่างเช่น I work in Japan. = ฉันทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น He likes Japanese woman. = เขาชอบผู้หญิงญี่ปุ่น Miko is a Japanese person. Or She is from Japan. ทั้งสองประโยคนี้บอกได้ว่ามิโกะเป็น คนญี่ปุ่น หรือ หล่อนมาจาก ประเทศญี่ปุ่น We speak Japanese. พวกเราพูด ภาษาญี่ปุ่น อธิบายเพิ่มเติม: เราจะใช้คำคุณศัพท์ที่มีความหมายกลาง ๆ + "คน" หรือใช้คำว่า "คนจาก" + ชื่อประเทศ อย่าลืมดูวีดีโอทบทวนบทเรียนในหัวข้อ "การบรรยายตนเอง + Present Simple" กันด้วยเด้อ เลิฟๆ คลิกที่ปุ่มเพลย์แล้วไปเรียนให้สนุกกันจร้า
ระบบ I Smart Mg Zs, 2024